-‘๑’- ชีวิตบ้านนอกที่เรียบง่าย กับ เด็กน้อยที่กำลังเป็นผู้ใหญ่ -‘๑’-

จากวันนั้น จนถึงวันนี้ ก็เกือบสองสัปดาห์แล้วสินะที่ฉันออกมาจากวังวนแห่งนั้น
ฉันรู้สึกมีความสุขมาก สบายกาย และสบายใจ…
ใครเล่าจะรู้ว่า การได้มาสัมผัสบรรยากาศแบบบ้านนอกคอกนาของแท้ จะเป็นเช่นไร

บ้านที่ฉันมาอยู่ เป็นบ้านครึ่งตึกครึ่งไม้ หลังเท่าๆกับกับบ้านของฉันที่จันทบุรี
แต่มีขนาดของตัวบ้านที่ใหญ่กว่า เพราะมีสองชั้น

ชั้นบนสร้างเป็นไม้ ไม่มีคนอยู่

เหตุผลเพราะว่า คุณป้าของฉันที่ท่านเป็นเจ้าของบ้าน ท่านไม่อยากเดินขึ้นลงบันได ท่านบ่นๆว่า “แก่แล้ว ขึ้นไม่ไหว”

พอมาถึงที่นี่ ฉันก็เลยยึดชั้นบนของบ้านเป็นห้องนอนของตัวฉันซะเลย
คุณป้าท่านไม่ว่าอะไรหรอก ท่านบอกว่า นอนไปเถอะ แต่ฝุ่นเยอะหน่อย ต้องคอยปัดกวาดเช็ดถูบ่อยๆ
การที่มีฝุ่นเยอะๆไม่เป็นปัญหาสำหรับฉัน เพราะว่าที่นี่…บุรีรัมย์ บ้านเกิดของพ่อและแม่ของฉัน
เป็นจังหวัดที่นับว่าแห้งแล้งจังหวัดหนึ่งของประเทศไทย
แต่ผู้คนที่นี่ ไม่ได้แห้งแล้งน้ำใจเลยสักนิด…

แต่ความเป็นจังหวัด “บ้านนอก” ของที่นี่ ไม่ได้อยู่ที่ความแห้งแล้ง ประชากรไร้การศึกษา หรือว่าพูดภาษาถิ่น
แต่ความเป็น “บ้านนอก” ของที่นี่ เป็นเพียงแค่ ไม่อยากติดต่อกับโลกในเมือง
เป็นชุมชนขนาดเล็ก ที่ไม่ต้องการความแออัด วุ่นวาย ฟุ้งเฟ้อ วัตถุนิยมมากเท่าไหร่

ชีวิตของคนบางคน ไม่มีเวลาที่จะมาทบทวนเรื่องราวในชีวิต ไม่มีเวลาที่จะมาคิดว่าในอดีตเราได้ผ่านเรื่องราวอะไรมาบ้าง

ฉันมาอยู่ที่นี่…ได้ซึมซับความเรียบง่าย อยู่อย่างสุขใจและสุขกาย ถึงแม้ว่าจะเป็นเวลาแค่นิดเดียวก็ตาม
ฉันมาอยู่ที่นี่…ได้เรียนรู้ถึงความพอเพียง ประหยัด ไม่ต้องการอะไรไปมากกว่าความสุขทางใจ
ฉันมาอยู่ที่นี่…ได้มาทบทวนเรื่องราว วันวานเก่าๆของฉัน
ฉันมาอยู่ที่นี่…ได้มาหวนคืนสู่อดีต ที่มีทั้งเลวร้าย และมีทั้งความสุขไปพร้อมกัน
ฉันมาอยู่ที่นี่…ได้รู้ว่าการกลับมาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขที่แท้จริงเป็นเช่นไร

เมื่อเช้า ฉันนั่งเล่นอยู่ที่หน้าบ้าน
ฉันเห็นเด็กตัวเล็กๆข้างบ้านของฉันมาเล่นกันอยู่
ข้างบ้านของฉัน เป็นบ้านหลังเล็กๆเช่นเดียวกับบ้านป้าของฉัน …เพียงแต่ว่ามีชั้นเดียว
บ้านนั้นมีตา ยาย และหลานกันอยู่อีก 5 คน
พ่อแม่ของเด็กพวกนั้นไม่อยู่บ้านกันหรอก เพราะว่าไปทำงานที่กรุงเทพฯกันหมด

…..

ชีวิตคนเราต้องดิ้นกันถึงที่สุด หาเงิน เพื่อมาจุนเจือครอบครัว…นี่แแหละ ชีวิต
เด็กๆเหล่านี้ ถึงไม่ได้รับความรัก และความอบอุ่นจากพ่อแม่เท่าที่ควร
สิ่งเหล่านี้ เป็นปัญหาอย่างยิ่งสำหรับสังคมไทย

…..

ย้อนกลับไปถึงเรื่องเมื่อเช้า ที่ฉันนั่งดูเด็กๆเล่นกัน
ฉันคิดนะว่า บางทีถ้ามีโอกาส ฉันอยากจะกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง

การได้เป็นเด็ก ฉันว่า เป็นช่วงที่มีความสุขมากที่สุขในชีวิตแล้วล่ะ

ไม่ต้องมีความรับผิดชอบใดให้วุ่นวาย ไม่ต้องห่วงเรื่องราวมากมาย
บางครั้งมีความทุกข์ ร้องไห้ แต่แปปเดียวก็หาย
แค่ออกไปหาเพื่อนเล่น สนุกสนานไปวันๆ
ชีวิตแบบเด็กๆนี่แหละ มีความสุขที่สุดแล้ว

แต่มาถึง ณ วันนี้
วันที่ฉันรอคอย

ฉันเพียงแค่ ต้องคอยดูต่อไปว่า อนาคตต่อไปของฉันจะเป็นเช่นไร
การที่มีเวลาว่างมากๆแบบนี้
ทำให้ฉันรู้สึกตัว
ทำให้ฉันโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น
ฉันว่าฉันโตแล้ว
โตพอที่จะรับรู้เรื่องราวบางเรื่อง
เพราะเรื่องราวเหล่านั้น เรื่องราวที่ผ่านมา ทำให้ฉันเข้มแข็ง และกล้าเผชิญหน้ากับมัน
แต่เรื่องราวบางเรื่อง ฉันกลับคิดว่าฉัน อ่อนแอเหลือเกิน
เรื่องบางเรื่องเราดูเหมือนเก่ง เป็นผู้ใหญ่ ทำได้ทุกอย่าง ไม่ต้องมาสอน
แต่เรื่องบางเรื่องกลับอ่อนหัด ทำเหมือนเด็ก 2 ขวบ เลย

ฉันจะรอดูว่า ต่อไป ชีวิตฉันจะเป็นเช่นไร

ขอเพียงให้บ้านนอกแห่งนี้ เป็นถิ่นที่ฉันรัก และจะภาคภูมิใจกับมันให้มากที่สุด

จะพยายาม…

เขียน ณ วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ.2551 เวลา 12.11 น.